"การลงมือทำสำคัญที่สุด" เป็นคติสำคัญในการดำเนินชีวิตของผู้ชายชื่อ 'นัท-กิตติพันธ์ ลี้ศัตรูพ่าย' หรือ 'นัท เลอทาน่า' ผู้ที่ชอบกีฬาปิงปองและรักในเสียงเพลงเป็นชีวิตจิตใจ
และนี่คือเรื่องราวของน้องนัท...ที่ประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงาน เป็นเจ้าของกิจการโรงแรม ร้านอาหาร โรงละคร ชอบร้องเพลง และได้เล่นกีฬาปิงปองซึ่งเป็นกีฬาที่ตนเองรักมาตั้งแต่วัยเด็ก..............
บทความเขียนโดยน้องนัท เลอทาน่า
เป็น ผู้เป็นคน เป็น นัท เลอทาน่าได้ เพราะ
พ่อแม่ไม่ตามใจ!!!
ผมเป็นลูกคนโต แม่มีผมตอนอายุ 18
ด้วยความที่มีลูกเร็ว
แม่ก็เลยต้องทำงานหนักแต่เด็ก
ตั้งแต่ขายเทปที่ตลาด
แล้วก็มาขายเครื่องเงินที่ตลาดแถวสำโรง
ในขณะที่ก็ต้องเลี้ยงลูกไปด้วย
แน่นอนว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
ผมเกิดในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง
พ่อแม่ต้องดิ้นรนหาเลี้ยง
เหมือนเหมือนกับบ้านคนอื่นทั่วไป
ผมเป็นเด็กที่ติดตามสอยห้อยพ่อแม่ไปทำงานตลอด
ชีวิตผมตอนเด็กเด็ก คืออยู่ตลาดขายเครื่องเงิน
ติดกับป้ายรถเมล์เลยเรียกว่าดมฝุ่น ควันรถมาตั้งแต่เด็ก
พ่อแม่ผมขยัน ขยันมากทำงานแบบไม่มีวันหยุด
ผมเป็นเด็กที่ ได้เที่ยวเล่นน้อยกว่าเด็กคนอื่น
เสาร์อาทิตย์ก็ขายของ แพ็คของอยู่ที่ร้านขายเครื่องเงิน
เราอยู่กันพ่อแม่ลูกที่คอนโดในซอยลาซาล
ตั้งแต่เล็กจนถึง ป. 5 พ่อแม่ก็ได้ซื้อบ้านเดี่ยว
ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของพ่อและแม่ผม
ผมตื่นเต้นมากที่จะได้มีบ้านเดี่ยวเป็นของตัวเอง
โดยไม่ต้องขึ้นลิฟท์เจ็ดชั้นอีกแล้ว
หลังจากนั้นพ่อแม่ผมจับพัดจับผู
เปลี่ยนอาชีพมาทำร้านรับซื้อของเก่า
เช่นเคย ด้วยความที่พ่อแม่ชอบปลูกฝังการทำงานแต่เด็ก
เวลาไม่ได้ไปโรงเรียนผมก็จะเป็นเด็กอยู่ที่ร้านรับซื้อของเก่า
ยกลังเบียร์ยกเหล็กยกกระดาษชั่งกิโล
ขนไปขายติดสอยห้อยตามพ่อแม่ไปตลอด
มันเป็นอาชีพที่ไม่เท่ซะเลยในตอนนั้นที่ผมคิด
เวลาต้องนั่งรถไปโรงเรียน บางทีก็เป็นรถกระบะโครงเหล็ก
หลังคาสูงที่ใส่ลังเบียร์เต็มคัน มันอายเพื่อน!
ขณะที่เพื่อนบางคนนั่งเบนซ์มาเรียนผมอิจฉาเล็กน้อย
โตมาอีกหน่อยขึ้น ม. 1 ผมเริ่มมีกิจกรรมเป็นของตัวเอง
ผมชอบกีฬาปิงปองเหลือเกิน
ผมสมัครเข้าชมรมปิงปองของโรงเรียน
ผมบ้าซ้อมากๆ ทุ่มเท
ซ้อมเสร็จสามสี่ทุ่มกลับบ้านทุกวัน
พ่อแม่เริ่มไม่ชอบ
คงไม่มีใครอยากเห็นลูกกลับบ้านดึกทุกวัน
แต่ผมดื้อถึงไม่ให้ไปซ้อม
ผมก็หนีไปอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะกลับมาแล้วโดนด่าทุกครั้ง
หนักที่สุดคือหนีออกจากบ้านไปสองเดือนตอนปิดเทอม
ไปซ้อมที่มอธรรมศาสตร์
(ตั้งแต่ผมตีปิงปอง พ่อแม่ผมไม่เคยไปดูแม้แต่ครั้งเดียว)
(ตอนนั้นน้อยใจ โตมาเพิ่งเข้าใจว่ามันดีแค่ไหน ที่เค้าไม่สปอย)
กีฬาปิงปองนี้ทำให้ผมมีประสบการณ์มากมาย
ผมไม่ได้มีแค่ในโรงเรียน
ผมมีสังคมกีฬาที่เจอทั้งเด็กและผู้ใหญ่เจอพี่พี่ผู้ใหญ่ดีดี
มากมายที่เป็นแบบอย่างให้ผม มาถึงทุกวันนี้
ผมเป็นเด็กแก่แดดมากๆ
ตอนเด็กเด็กผมคบแต่กับผู้ใหญ่
มองย้อนกลับไปผมโชคดีเหลือเกิน
ทำให้ผมซึมซับความเป็นเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่นั้น
คุณไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมตอนนี้ผมดูแก๊แก่
ผมแก่แต่เด็กยังไงล่ะ!!!
พออายุ 18 ผมก็เริ่มห่างจากกีฬาปิงปอง
กลับมาทำงานรับซื้อของเก่าของที่บ้าน
ผมมีหน้าที่ขับรถออกไปหา ของซื้อทุกอย่างที่จะทำกำไรได้
ตั้งแต่เช้าจนค่ำเท่าที่เวลาของวันนั้นจะหทดไป
ทำอย่างนั้นอยู่สองปีสามปี
จากนั้นผมก็เริ่มธุรกิจที่เกิดจาก ตัวเองชิ้นแรก
นั่นคือโรงงานรีไซเคิลเศษแก้ว
ซึ่งก็มาจากคำพูดสะกิดใจของแม่ผมนั่นเอง
แม่บอกว่าโรงงานรีไซเคิลเศษแก้วมีน้อยมากๆเลยนะ
ผมเลยตัดสินใจทำเลย!!
ผมแอบไปดูโรงงานรีไซเคิลของคนอื่นๆ
เพื่อกลับมาก๊อปปี้ฮ่าฮ่าฮ่า
ในแนวทางของตัวเอง!!
ผมทำโรงงานรีไซเคิลจนถึงอายุ 28
แล้วจึงได้เริ่มมีโรงแรมเลอทาน่าเกิดขึ้น
ทุกอย่างในชีวิตผมเกิดจากความดื้อทั้งสิ้น
แปลกมากไม่ว่าผมจะเริ่มทำอะไร
มันจะไม่มีใครสนับสนุนเลยแม้กระทั่งคนในครอบครัว
แต่ผมกลับชอบแรงผลักดันนี้เป็นชีวิตจิตใจ
ยิ่งไม่สนับสนุนยิ่งอยากทำยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
และนี่ก็คือแพลตฟอร์มคร่าวๆของชีวิตผม
ที่ใครใครเห็นแต่เปลือกนอกก็คงคิดว่าน่าจะสบาย
แต่ผมไม่ได้รักสบาย
เพราะ “ความสบายของผมคือการได้ทำงานหนัก”
แวะไปอุดหนุนน้องนัท ฟังน้องนัทร้องเพลงเพราะ อาหารอร่อย และ เล่นปิงปองสนุกๆ ได้ที่ร้านอาหาร โรงแรม โรงละคน ของน้องน้ทได้ที่นี่ครับ https://www.facebook.com/letanahotel